ติดตั้งสายดินสำคัญอย่างไร? เข้าใจประโยชน์ องค์ประกอบ และขั้นตอนที่ถูกต้อง

การติดตั้งสายดิน สำคัญอย่างไรต่อระบบไฟฟ้า

ในระบบไฟฟ้าทั้งภายในบ้านพักอาศัย อาคารสำนักงาน ไปจนถึงโรงงานอุตสาหกรรม การติดตั้งสายดินคือเรื่องสำคัญและจำเป็นอย่างยิ่ง แม้จะไม่ส่งผลโดยตรงต่อการทำงานของอุปกรณ์ไฟฟ้าในสถานการณ์ที่เป็นปกติ แต่การต่อสายดินกลับมีบทบาทสำคัญอย่างมากในด้านความปลอดภัย ช่วยลดความเสี่ยงจากไฟดูด ไฟรั่ว และยังช่วยป้องกันความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินในกรณีที่เกิดเหตุไม่คาดฝัน

ดังนั้น เพื่อให้เข้าใจถึงประโยชน์และองค์ประกอบสำคัญของการติดตั้งสายดิน ในบทความนี้เราได้รวบรวมเรื่องสำคัญตั้งแต่มาตรฐานการติดตั้งระบบกราวด์ และการต่อลงดินของอุปกรณ์ไฟฟ้าควรต่อจากจุดไหน รวมถึงขั้นตอนและวิธีการมาให้ได้ทราบกัน

เลือกอ่าน

การติดตั้งสายดิน สำคัญต่อระบบไฟฟ้าอย่างไร?

การติดตั้งสายดิน หรือการต่อสายดิน คือ การต่อสายไฟที่เชื่อมต่อระหว่างอุปกรณ์ไฟฟ้ากับพื้นดินเพื่อทำหน้าที่เป็นทางเดินไฟฟ้าเมื่อเกิดไฟฟ้ารั่วหรือมีความผิดปกติเกี่ยวกับระบบไฟฟ้า ทำให้กระแสไฟฟ้าไหลลงสู่พื้นดินโดยตรง และเป็นการป้องกันไม่ให้ไฟฟ้าไหลผ่านตัวผู้ใช้งาน ช่วยลดความเสี่ยงจากการถูกไฟดูดหรือไฟช็อตได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด

ประโยชน์ของการต่อสายดินตามข้อกำหนดของการไฟฟ้า

ทำไมต้องติดตั้งสายดิน?

การติดตั้งสายดินไม่ได้มีไว้เพียงเพื่อความปลอดภัยเท่านั้น แต่ยังเป็นข้อกำหนดของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.)โดยกำหนดให้ผู้ขอใช้ไฟรายใหม่ทุกรายต้องติดตั้งระบบสายดิน ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2546 ยกเว้นผู้ใช้ไฟประเภทที่อยู่อาศัยนอกเขตเทศบาล หรือผู้ใช้ไฟฟ้าในเขตชนบทที่ติดตั้งมิเตอร์ขนาดไม่เกิน 5(15) แอมป์ ซึ่งนอกจากเป็นข้อกำหนดทางการไฟฟ้าแล้ว การต่อสายดินยังมีข้อดีในหลายด้าน ดังนี้

  • ลดความเสี่ยงถูกไฟดูด ไฟช็อต โดยเฉพาะเมื่ออุปกรณ์ไฟฟ้าชำรุด
  • ป้องกันความเสียหายของเครื่องใช้ไฟฟ้าจากกระแสไฟฟ้าสถิต หรือไฟฟ้าเกิน
  • เสริมประสิทธิภาพการทำงานของอุปกรณ์ป้องกันไฟฟ้า เช่น เบรกเกอร์หรือ ELCB
  • ช่วยให้เกิดการตัดวงจรอย่างรวดเร็วเมื่อมีไฟรั่ว

อ่านบทความที่น่าสนใจ :รู้จักเครื่องตัดไฟรั่ว RCD ตัวช่วยป้องกันไฟดูด ไฟรั่ว ที่ควรติดตั้งไว้เพื่อความปลอดภัย

องค์ประกอบของการต่อสายดิน

การต่อสายดินให้เป็นไปตามมาตรฐานของการไฟฟ้าจำเป็นต้องมีองค์ประกอบที่ครบถ้วน เพื่อให้สามารถใช้งานได้จริง และมีประสิทธิภาพสูงสุดด้านความปลอดภัย โดยองค์ประกอบสำคัญที่ขาดไม่ได้ มีดังนี้

1. สายกราวด์ (Ground Wire)

สายกราวด์เป็นสายที่ทำหน้านำกระแสไฟฟ้าที่รั่วจากตัวอุปกรณ์ไปสู่แท่งกราวด์ ภายในสายกราวด์จะประกอบด้วยลวดทองแดง และสายที่หุ้มฉนวนพีวีซี (PVC) สำหรับสีตามมาตรฐานของสายดินคือสายสีเขียวสลับสีเหลือง

2. แท่งกราวด์ (Ground Rod)

แท่งโลหะที่ใช้ปักลึกลงในดินทำหน้าที่เชื่อมต่อกับสายกราวด์ลงดินเพื่อถ่ายเทประจุไฟฟ้าให้กระจายลงใต้พื้นดิน มักใช้แท่งทองแดง หรือเหล็กชุบทองแดง เพื่อป้องกันการเกิดสนิมและการกัดกร่อน มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางไม่ต่ำกว่า 16 มม. ความยาวอย่างน้อย 2.4 เมตร และต้องมีค่าความต้านทานเมื่อลงดินไม่เกิน 5 โอห์ม

ตัวอย่างการการต่อสายกราวด์ลงดินจากเครื่องใช้ไฟฟ้า

การต่อสายลงดินของอุปกรณ์ไฟฟ้า ควรต่อจากจุดไหน?

การต่อสายดินต้องทำจากจุดที่เป็นโครงหรือเปลือกของเครื่องใช้ไฟฟ้า ติดตั้งสายดินเข้ากับโครงเครื่องใช้ที่ผู้ใช้ต้องสัมผัส เพื่อเป็นตัวนำกระแสไฟฟ้ารั่วไหลไปสู่ดินอย่างปลอดภัย และควรต่อสายดินที่เมนสวิตช์ในบ้านหรืออาคาร เพื่อให้ระบบสายดินทำงานได้ครอบคลุมและมีประสิทธิภาพ

ควรติดตั้งสายดิน กับเครื่องใช้ไฟฟ้าชนิดไหนบ้าง?

นอกจากการต่อสายดินจากอุปกรณ์ไฟฟ้าที่เกี่ยวกับความปลอดภัยแล้วสายดินยังจำเป็นต้องติดตั้งกับเครื่องใช้ไฟฟ้าบางชนิดด้วย ตามรายละเอียด ดังนี้

  • เครื่องใช้ไฟฟ้าประเภทที่ 1

    เครื่องใช้ไฟฟ้าที่จำเป็นต้องติดตั้งสายดิน เนื่องจากเป็นเครื่องใช้หรืออุปกรณ์ไฟฟ้าที่มีโครงหรือโลหะหุ้มและเสี่ยงต่อการสัมผัส เช่น ตู้เย็น เครื่องปรับอากาศ เครื่องซักผ้า เครื่องทำน้ำอุ่น เตาไมโครเวฟ เป็นต้น

  • เครื่องใช้ไฟฟ้าประเภทที่ 2

    เครื่องใช้ไฟฟ้าที่ต้องมีการสัมผัสใช้งานเช่นเดียวกัน แต่ไม่จำเป็นต้องติดตั้งสายดิน เนื่องจากเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีระดับแรงดันไฟฟ้าต่ำกว่า 50 โวลต์ เช่น วิทยุ โทรทัศน์ พัดลมตั้งพื้น โคมไฟแสงสว่าง เป็นต้น

ณัฐภูมิ อีควิปเม้นท์ จัดจำหน่ายสายดินและอุปกรณ์ในระบบไฟฟ้าตามมาตรฐาน พร้อมบริการติดตั้งครบวงจร

วิธีติดตั้งสายดิน

เพื่อให้การต่อสายดินเป็นไปอย่างถูกต้อง และเจ้าของบ้านหรือเจ้าของธุรกิจสามารถตรวจสอบความถูกต้องในเบื้องต้นได้ ต่อไปนี้คือขั้นตอนและวิธีการติดตั้งสายดิน

  1. เลือกตำแหน่งติดตั้งแท่งกราวด์หรือหลักดิน ให้ฝังในบริเวณที่เป็นดินชื้นไม่แข็ง และไม่ไกลจากตัวบ้านเพื่อให้การนำไฟฟ้าสู่ดินมีประสิทธิภาพดี
  2. ฝังแท่งกราวด์ลงดินด้วยความลึกตามมาตรฐานประมาณ 2.4 เมตร
  3. ทำการต่อสายดินเข้ากับแท่งกราวด์ โดยใช้คีมหรือตัวเชื่อมที่เหมาะสม เพื่อให้แน่ใจว่าการนำไฟฟ้าเป็นไปอย่างต่อเนื่อง
  4. เดินสายดินจากแท่งกราวด์ไปยังตู้เมนสวิตช์ และจากตู้เมนสวิตช์กระจายไปยังอุปกรณ์และโครงของเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ต้องการ
  5. ตรวจวัดความต้านทานของระบบสายดิน เพื่อให้มั่นใจว่ามีค่าต้านทานไม่เกิน 5 โอห์ม ตามมาตรฐานการติดตั้งระบบกราวด์
  6. ติดตั้งอุปกรณ์ป้องกันเสริม เช่น เครื่องตัดไฟรั่ว (RCCB) เพื่อเพิ่มความปลอดภัย

ข้อควรระวังในการติดตั้งสายดิน

เพื่อความปลอดภัยทั้งในขั้นตอนของการติดตั้ง และการใช้งานได้จริงกรณีที่เกิดไฟรั่ว ต่อไปนี้คือข้อควรระวังของการต่อสายดิน

  • ห้ามใช้สายไฟฟ้าเส้นอื่นแทนสายกราวด์ลงดิน
  • ห้ามต่อสายดินร่วมกับท่อประปา เพราะอาจเกิดความเสียหายได้
  • ต้องเลือกใช้วัสดุที่มีความทนทานต่อการกัดกร่อน เช่น ทองแดงหรือเหล็กชุบทองแดง เพื่อยืดอายุการใช้งานของระบบสายดิน
  • หมั่นตรวจสอบระบบกราวด์อย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะในโรงงานที่มีเครื่องจักรใช้งานหนัก

ต่อสายลงดินตามมาตรฐานการติดตั้งระบบกราวด์ โดย ณัฐภูมิ อีควิปเม้นท์

ติดตั้งสายดินอย่างมั่นใจ ปลอดภัยในทุกขั้นตอน โดย ณัฐภูมิ อีควิปเม้นท์

การติดตั้งสายดิน คือเรื่องสำคัญที่ไม่ว่าคุณจะเป็นเจ้าของบ้าน อาคาร หรือโรงงานอุตสาหกรรม ก็ไม่ควรมองข้าม เพราะนอกจากเป็นข้อกำหนดจากการไฟฟ้าที่ต้องปฏิบัติตามแล้ว ยังช่วยเพิ่มความปลอดภัยให้กับชีวิตและทรัพย์สินอีกด้วย แต่เพื่อให้การต่อสายดินเป็นไปตามมาตรฐานของการไฟฟ้า ควรให้วิศวกรไฟฟ้าที่มีความเข้าใจและมีประสบการณ์เข้ามาตรวจสอบและติดตั้งเท่านั้น

สำหรับท่านที่กำลังมองหาที่ปรึกษาด้านระบบไฟฟ้าและการติดตั้งสายดินณัฐภูมิ อีควิปเม้นท์ ยินดีให้คำปรึกษา ด้วยประสบการ์ณเกี่ยวกับระบบไฟฟ้าที่ยาวนาน พร้อมจำหน่ายอุปกรณ์ที่ได้มาตรฐาน เพื่อให้คุณปลอดภัย ไร้กังวล เมื่อระบบไฟฟ้ามีปัญหา สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ติดต่อเรา หรือโทร 083-424-6999 และสามารถแอดไลน์ได้ที่@npeq

แหล่งอ้างอิง :
safesavethai.com

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ การติดตั้งสายดิน

1. ถ้าไม่ติดตั้งสายดินจะเกิดอะไรขึ้น?

หากไม่มีการติดตั้งสายดิน อาจเกิดอันตรายจากไฟฟ้ารั่วหรือไฟดูดเมื่ออุปกรณ์ไฟฟ้าชำรุด และยังทำให้เบรกเกอร์หรืออุปกรณ์ป้องกันไฟฟ้าไม่สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

จำเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะบ้านที่มีเครื่องใช้ไฟฟ้าหรือระบบไฟฟ้าขนาดใหญ่ สายดินจะช่วยป้องกันอันตรายจากไฟฟ้ารั่วและเพิ่มความปลอดภัยให้ผู้อยู่อาศัยทุกคนในบ้าน

สามารถตรวจสอบค่าความต้านทานดินด้วยเครื่องมือวัด โดยค่ามาตรฐานควรต่ำกว่า 5 โอห์ม และควรตรวจสอบระบบไฟฟ้าอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง หรือเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงระบบไฟฟ้า

ผลิตภัณฑ์ของ ณัฐภูมิ อีควิปเม้นท์

<p>ระบบโซลาร์เซลล์</p>

ระบบโซลาร์เซลล์

<p>เครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า</p>

เครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า

<p>อุปกรณ์ไฟฟ้า</p>

อุปกรณ์ไฟฟ้า